นักข่าวไอที

นักข่าวไอที เสี่ยงสูญพันธุ์! วงเสวนาชี้ทางรอดในยุค AI ครองเมือง

วงเสวนา “อนาคตข่าวไอทีในยุค AI นำองค์กร” เผยภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนถาวร นักข่าวไอทีเผชิญความท้าทายหนักหน่วง เมื่อ AI และคอนเทนต์ครีเอเตอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทัดเทียม ผู้เชี่ยวชาญชี้ทางรอดต้อง “สร้างตัวตน-เจาะลึกข้อมูล-ใช้ AI เป็นเครื่องมือ” แนะเลิกทำข่าวสรุปตามข่าวประชาสัมพันธ์ แต่หันมาสร้างคุณค่าด้วยมุมมองเชิงลึกและความคิดเห็นที่น่าเชื่อถือ พร้อมเตือน AI พัฒนาเร็วกว่าที่คิด จี้องค์กรสื่อและภาครัฐวางโรดแมปรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, ในโอกาสการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนในวงการสื่อ “อนาคตข่าวไอทีในยุค AI นำองค์กร” โดยได้เชิญวิทยากรผู้คร่ำหวอดในแวดวงดิจิทัลและข้อมูลมาร่วมฉายภาพอนาคตและชี้ทางรอดให้กับ นักข่าวไอที  ประกอบด้วย คุณจักรพงษ์ คงมาลัย จาก Moonshot Digital และ คุณกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจาก Wisesight (ประเทศไทย) ดำเนินรายการโดย คุณวิชัย วรธานีวงศ์

วงเสวนาได้สะท้อนภาพความท้าทายที่นักข่าวไอทีกำลังเผชิญอย่างตรงไปตรงมา ท่ามกลางภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทุกคนสามารถกลายเป็นสื่อได้ผ่านโซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังมากขึ้นทุกวัน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ นักข่าวจะสร้างความแตกต่างและคุณค่าของตนเองได้อย่างไรในวันที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ไม่ต่างกัน

เมื่อทุกคนเป็นสื่อได้…คุณค่าของนักข่าวอยู่ตรงไหน?

คุณจักรพงษ์ คงมาลัย เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่า แม้วันนี้ทุกคนจะสามารถสร้างคอนเทนต์ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น “สื่อที่ดี” ได้ ในอดีต นักข่าวไอทีอาจมีความได้เปรียบในการเข้าถึงแหล่งข่าว แต่ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะจากบริษัทระดับโลก สามารถเข้าถึงได้พร้อมกันทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ต

คุณกล้า ตั้งสุวรรณ เสริมในประเด็นนี้ว่า “ความแตกต่างระหว่างไอทีในบ้านเรากับไอทีทั้งโลกมันต่างกันน้อยมาก…วันนี้ใครเสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เห็นซอส (Source) เดียวกับที่เราเห็น” สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นักข่าวไอทีที่ยังคงทำหน้าที่เพียงสรุปข่าวหรือนำเสนอข้อมูลจากข่าวประชาสัมพันธ์ ไม่แตกต่างจากอินฟลูเอนเซอร์สายแกดเจ็ตทั่วไป

คุณจักรพงษ์กล่าวอย่างเผ็ดร้อนว่า “ถ้าหากว่าคงไม่ปรับตัว คอนเทนต์ที่คุณทำมันจะไม่ได้ มันจะเข้าถึงคนได้น้อยลง แล้วก็มันจะกลายเป็นว่าความตั้งใจ ความพยายามที่คุณทำมาทั้งหมด มันจะเริ่มสูญเปล่า”

ทางรอดที่ 1: Personal Branding เลิกเป็นนักข่าวไร้ตัวตน

ทางออกสำคัญที่วิทยากรทั้งสองเน้นย้ำคือ การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ หรือ Personal Branding คุณจักรพงษ์อธิบายว่านี่ไม่ใช่การทำตัวเป็น “เซเลบข่าว” แต่คือการทำให้คนจดจำได้ว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในประเด็นใดประเด็นหนึ่งอย่างลึกซึ้ง

“ท้ายสุดมันไม่มีหรอกครับว่านักข่าวไอทีกว้างๆ มันมีแต่ว่าคุณเป็นนักข่าวไอทีที่เก่งและเจาะอยู่ในประเด็นอะไร และนำเสนอเรื่องนั้นได้ลึกจริงหรือเปล่า” คุณจักรพงษ์กล่าว

เขาได้ลบความเชื่อที่ว่าการแสดงความคิดเห็นจะทำให้นักข่าวขาดความเป็นกลาง โดยชี้ว่าในยุคนี้ “คนอยากฟังความคิดเห็นของคนด้วยกัน มากพอๆ กับข้อเท็จจริงจากสำนักข่าว” นักข่าวสามารถนำเสนอข้อเท็จจริงตามข่าว และเสริมด้วยความคิดเห็นในมุมมองส่วนตัวได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้คอนเทนต์น่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะคนอยากสื่อสารกับ “คน” ไม่ใช่กับ “องค์กร”

การสร้างตัวตนที่ชัดเจนจะส่งผลดีทั้งต่อตัวนักข่าวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ เช่น การได้รับเชิญเป็นวิทยากร และยังเป็นประโยชน์ต่อองค์กรสื่อต้นสังกัด เพราะจะทำให้ข่าวสารเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น น่าเชื่อถือขึ้น และเกิดการบอกต่อบนโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยคุณกล้า สนับสนุนแนวคิดนี้โดยเปรียบเทียบว่า “การมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนมันเป็น Asset ของเจ้าตัวและองค์กร” เหมือนกับที่นักข่าวสายกีฬาดังๆ มีสไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่จดจำ

ทางรอดที่ 2: ใช้ “Data” ขยี้ประเด็นที่คนอยากรู้ ไม่ใช่แค่ที่แบรนด์อยากบอก

ในยุคที่ข้อมูลมีค่ามหาศาล คุณกล้า ตั้งสุวรรณ ได้ชี้ให้เห็นถึงพลังของ Social Listening หรือการใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่สังคมกำลังพูดถึงจริงๆ ซึ่งมักจะเป็นประเด็นที่ไม่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์

เขาได้ยกตัวอย่างกรณีดราม่าผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีไปดูคอนเสิร์ต หรือกรณีการเปลี่ยนแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ผู้บริโภคมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิธีการสมัครและใช้งาน แต่กลับไม่มีสื่อใดอธิบายอย่างละเอียด

“สิ่งนี้จะทำให้เรารู้ว่าโลกมันเป็นอย่างไร คนเขารู้สึกกับมันยังไง ใครชอบเรื่องอะไร ใครไม่ชอบเรื่องอะไร” คุณกล้ากล่าว

ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์สำหรับนักข่าวไอทีในการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง แทนที่จะนำเสนอข่าวตามที่แบรนด์ต้องการควบคุม นักข่าวสามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตน “ขยี้” ประเด็นที่คนสนใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ ซึ่งนี่คือคุณค่าที่ AI หรืออินฟลูเอนเซอร์ทั่วไปไม่สามารถทำได้

นักข่าวไอที

AI: ไม่ใช่แค่อนาคต แต่มันเปลี่ยนโลกไปแล้ว

ประเด็นที่น่าตื่นเต้นและน่ากังวลที่สุดในวงเสวนาคือเรื่องของ AI คุณกล้ามองว่า AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่มันได้เปลี่ยนแปลงโลกไปแล้ว และคนส่วนใหญ่ยังประเมินศักยภาพของมันในอนาคต “ต่ำเกินไปมาก”

เขาชี้ให้เห็นถึงความเร็วในการพัฒนาที่น่าทึ่ง โดยยกสถิติว่า ChatGPT ใช้เวลาเพียง 5 วันในการมีผู้ใช้งานครบ 1 ล้านคน ในขณะที่ Facebook ใช้เวลานานถึง 10 เดือน นี่คือเครื่องบ่งชี้ถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงที่โลกกำลังจะเผชิญ

“ผมให้นึกถึงความเร็วของ AI แบบนี้ 30 เดือนที่แล้วเรายังเพิ่งรู้จัก ChatGPT อยู่เลย” คุณกล้ากล่าวเตือน

เขายังได้คาดการณ์อย่างน่าสนใจว่า “ใน 6 เดือนข้างหน้า วงการซอฟต์แวร์จะพลิกแบบพลิกจนจำไม่ได้” เพราะ AI สามารถเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ได้ดีและเร็วกว่ามนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมถึงอาจมีการเลิกจ้างโปรแกรมเมอร์จำนวนมาก

ใช้ AI อย่างไรให้รอด: มนุษย์ต้องเป็นผู้ “Verify” และ “รับผิดชอบ”

แม้ AI จะทรงพลัง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญ นั่นคือ AI ไม่มี “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความรับผิดชอบ” นี่คือช่องว่างที่นักข่าวมืออาชีพต้องเข้ามาเติมเต็ม

คุณจักรพงษ์มองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยทำงาน เช่น ช่วยร่างเนื้อหา หรือหาข้อมูล แต่สุดท้ายแล้ว “มนุษย์” คือผู้ที่ต้องตรวจสอบความถูกต้อง (Verify) และประทับตราความน่าเชื่อถือลงไป

“สิ่งที่ AI ทำไม่ได้ คือมัน Verify ไม่ได้… AI ไม่มี ความน่าเชื่อถือ แต่ว่าพี่ๆ ที่อยู่ในห้องนี้ทุกคนเป็นมนุษย์ และมนุษย์มีความน่าเชื่อถือ” คุณจักรพงษ์ย้ำ

ในการตอบคำถามจากผู้ร่วมฟังเสวนาถึงประเด็นข้อขัดแย้งในการใช้ AI ทำข่าว วิทยากรทั้งสองเห็นตรงกันว่า Accountability & Responsibility (ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้) คือหัวใจสำคัญ หากนำเสนอข่าวที่สร้างโดย AI แล้วเกิดความผิดพลาด “พี่คือคนรับผิดชอบ” คุณกล้ากล่าว ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบและกลั่นกรองโดยมนุษย์จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และควรมีความโปร่งใสบอกกับผู้รับสารว่าคอนเทนต์ส่วนใดมาจากการใช้ AI

บทสรุป: ปลาเร็วกินปลาช้า ถึงเวลาที่นักข่าวต้องลงมือทำ

บทสรุปจากเวทีเสวนาครั้งนี้ชัดเจนว่า นักข่าวไอทีไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่อย่างถาวร ทางรอดไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การปรับตัวและใช้มันให้เป็นประโยชน์

คุณกล้าทิ้งท้ายด้วยมุมมองที่เฉียบคมว่า “ปลาเร็วชนะ ไม่ใช่ปลาใหญ่ชนะปลาช้า… ผมเชื่อว่า AI มันจะยิ่งทำให้เรื่องนี้ชัดขึ้น คือใครใช้ AI เร็วเป็นปลาเร็ว ใครใช้ AI ช้าก็เป็นปลาช้า”

ดังนั้น อนาคตของนักข่าวไอทีจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว สร้างตัวตนให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างสรรค์ประเด็นข่าวที่แตกต่าง และควบคุม AI ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลัง โดยยึดมั่นในจรรยาบรรณและความรับผิดชอบของสื่อมวลชนมืออาชีพ ซึ่งเป็นคุณค่าที่ไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถทดแทนได้

#ข่าวไอที #AI #สื่อสารมวลชน #DigitalTransformation #PersonalBranding #DataAnalytics #นักข่าว #อนาคตสื่อ #Wisesight #MoonshotDigital

Similar Posts